ภาพถ่ายซะมุไรในชุดเกราะ
ถ่ายในช่วงทศวรรษที่ 1860 โดย เฟรีเช บีอาโต
ซะมุไร (ภาษาไทยนิยมทับศัพท์ว่า "ซามูไร") แปลเป็นภาษาไทยว่า ทหาร คำว่า ซะมุไร มีต้นกำเนิดจากคำว่า ซะบุระอุ ซึ่งเป็นคำกริยาในภาษาญี่ปุ่นโบราณ
ที่มีความหมายว่า รับใช้ ฉะนั้น ซะมุไรก็คือคนรับใช้นั่นเอง
กำเนิด ซามูไร
เป็นที่เชื่อกันว่า
รูปแบบของเหล่านักรบบนหลังม้า มือธนู และทหารเดินเท้าในช่วงศตวรรษที่ 6 น่าจะเป็นตัวบทต้นแบบของซะมุไรดั้งเดิม ขณะที่จุดกำเนิดของซะมุไรสมัยใหม่ยังเป็นปัญหาที่โต้เถียงกันอยู่
หลังจากการสู้รบในสงครามนองเลือดกับฝ่ายราชวงศ์ถังของจีน และอาณาจักรซิลลา ของเกาหลี ญี่ปุ่นก็เข้าสู่ยุคแห่งการปฏิรูปไปทั่วทุกหัวระแหง
โดยการปฏิรูปครั้งสำคัญที่สุดคือการปฏิรูปไทกะ ซึ่งกระทำโดยจักรพรรดิโคโตกุเมื่อ ค.ศ. 646 การปฏิรูปในครั้งนั้น
ได้เริ่มนำเอาวัฒนธรรมการปฏิบัติและเทคนิคการบริหารต่าง ๆ ของจีนมาใช้กับกลุ่มชนชั้นสูงและระบบราชการของญี่ปุ่น
ถึง ค.ศ. 702 ประมวลกฎหมายโยโรและประมวลกฎหมายไทโฮก็ถือกำเนิดขึ้น
พร้อมกับคำสั่งที่ให้ประชาชนมารายงานตัวเป็นประจำกับทางการเพื่อเก็บข้อมูลมาสร้างสำมะโนประชากร ที่ต่อมาจะถูกนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดสำหรับการเกณฑ์ทหาร หลังจากนั้น
เมื่อการทำสำมะโนประชากรเสร็จสิ้นลงจนทำให้รู้ว่าประชากรในญี่ปุ่นมีการกระจายตัวกันอย่างไร จักรพรรดิคัมมุ ก็ได้ริเริ่มกฎหมายให้ประชากรเพศชายที่เป็นผู้ใหญ่
1 ใน 3 ถึง 4 คนต้องถูกเกณฑ์เป็นทหารเพื่อรับใช้ชาติ
โดยผู้ที่จะเข้ามาเป็นทหารเหล่านี้จะถูกขอความร่วมมือให้ส่งมอบอาวุธของตนแก่ทางการ
แต่พวกเขาจะได้รับการยกเว้นในการเสียภาษีและการรับหน้าที่ต่างๆ
เป็นสิ่งตอบแทน
จักรพรรดิคัมมุ
ในช่วงต้นของยุคเฮอัง ประมาณปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 จักรพรรดิคัมมุ ได้หาทางทำให้อำนาจของตนทรงพลังและแผ่ขยายไปทั่วตอนเหนือของเกาะฮนชู (แผ่นดินใหญ่ของญี่ปุ่น)
แต่กระนั้นเอง ความหวังดังกล่าวก็เริ่มเกิดปัญหา
เมื่อกำลังทหารที่จักรพรรดิส่งไปเพื่อปราบกบฏเอมิชิกลับไร้ซึ่งแรงจูงใจและระเบียบวินัยจนต้องแพ้ทัพกลับมา
จักรพรรดิคัมมุจึงต้องแก้เกมใหม่โดยการสถาปนาตำแหน่ง เซอิไตโชงุง “ แม่ทัพใหญ่ผู้ปราบคนเถื่อน" หรือที่เรียกสั้น
ๆ ว่า โชงุง (ภาษาไทยนิยมทับศัพท์ว่า โชกุน) ขึ้นมา
เพื่อให้พวกเขาเหล่านี้ไปพิชิตกลุ่มกบฏเอมิชิ
เป็นผลให้ทั้งหน่วยประจัญบานบนหลังม้าและนักแม่นธนู (คิวโดะ (Kyudo )
ที่มีทักษะฝีมือ ต้องถูกเรียกเข้ามาเป็นเครื่องมือ
สำคัญในการคว่ำกำลังกบฏทั้งหลาย
ซึ่งถึงแม้ว่านักรบเหล่านี้จะเป็นผู้ที่มีการศึกษาก็ตาม แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว
(ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 7 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 9) ตามสายตาของทางการแล้ว
พวกเขายังถูกมองว่าเป็นชนชั้นที่สูงกว่าคนเถื่อนขึ้นมานิดเดียว
แต่ในที่สุด จักรพรรดิคัมมุ ก็ยุติการบัญชาทัพของพระองค์ไป
และอำนาจของพระองค์ก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน กลุ่มตระกูลที่ทรงอิทธิพลในนคร
เคียวโตะ ก็ได้เข้าครองตำแหน่งเสนาบดี และบางส่วนก็มีอำนาจเป็นผู้ปกครองหรือศาลแขวง กลุ่มผู้ปกครองเหล่านี้มักจะเรียกเก็บภาษีจากประชาชนอย่างหนักหน่วง เพื่อที่จะสะสมความมั่งคั่งและเป็นการคืนกำไรให้กับพวกตน จึงส่งผลสำคัญให้ชาวนาหลายต่อหลายคนไร้ที่ดินอยู่ อัตราการปล้นสะดม ก็เพิ่มขึ้น เหล่าผู้ปกครองจึงแก้ปัญหาโดยการรับสมัครผู้ถูกเนรเทศในเขตคันโต
ให้มาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อย่างเข้มงวด เพื่อที่จะใช้พวกเขาเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ทรงประสิทธิภาพ บางครั้งก็ให้ไปช่วยเก็บภาษีและยับยั้งการทำงานของเหล่า
หัวขโมยและโจรป่า พวกเขาเหล่านี้ได้ถูกเรียกว่า ซะบุไร (saburai) หรือผู้ที่ถวายตัวเป็นข้ารับใช้ให้แก่กองทัพ
ซึ่งผู้ที่เป็นซะบุไรมักจะได้เปรียบกว่าคนอื่น
เนื่องจากพวกเขาจะได้รับอำนาจทางการเมืองและมีชนชั้นที่สูงขึ้น แต่ซะบุไรบางกลุ่มก็เป็นเพียงชาวนาและพันธมิตรที่จับอาวุธขึ้นปกป้องตนเองจากกลุ่มซาบุไรที่มีอำนาจสูงกว่า
และผู้ปกครองที่จักรวรรดิส่งมาเพื่อเก็บภาษีและครอบครองที่ดินของพวกเขา ซึ่งต่อมา
ในช่วงยุคเฮอังตอนกลาง ซะบุไรกลุ่มนี้เองได้นำเอาลักษณะพิเศษของชุดเกราะและอาวุธต่างๆ
ของญี่ปุ่นมาวางไว้เป็นพื้นฐานของกฎแห่งบุชิโด ซึ่งเป็นกฎที่ประมวลรวมหลักจรรยาต่างๆ
ของพวกเขา
หลังจากการผ่านพ้นของซามูไรพเนจรศตวรรษที่
11 เป็นต้นมา
ผู้ที่จะมาเป็นซะมุไรต่างได้รับการคาดหวังว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีวัฒนธรรมและอ่านออกเขียนได้
โดยพวกเขาจะต้องสามารถใช้ชีวิตให้กลมกลืนไปกับคำกล่าวโบราณที่ว่า บุง บุ เรียว โดะ (สว่าง, ศิลปะอักษร, ศิลปะการทหาร, วิถีทั้งสอง)
หรือ ความกลมกลืนแห่งพู่กันและดาบให้ได้ โดยจะเห็นจากชื่อเฉพาะที่ใช้เรียกเหล่านักรบในช่วงแรกๆ ว่า อุรุวะชิ คำนี้ถูกเขียนขึ้นมาด้วยตัวอักษรคันจิที่มีการผสมรวมระหว่างลักษณะเฉพาะตัวของศิลปะอักษร
(ญี่ปุ่น: 文 bun ตรงกับภาษาจีน "บุ๋น") และศิลปะการทหาร (ญี่ปุ่น: 武 bu ตรงกับภาษาจีน "บู๊") เข้าด้วยกัน และมโนทัศน์เช่นเดียวกันนี้
ยังถูกกล่าวไว้ในเรื่องเล่าแห่งเฮเกะ (เฮเกะ โมะโนะงะตะริ, สมัยปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12) โดยมีการอ้างอิงไว้ในคำกล่าวของตัวละครที่มีต่อการตายของ
ไทระ โนะ ทะดะโนริ นักดาบ-นักกวีผู้มีการศึกษาคนหนึ่งว่า:
“เหล่าเพื่อนและพวกศัตรูต่างก็มีน้ำตาชุ่มเปียกที่แขนเสื้อ
และพากันกล่าวว่า ‘น่าเสียดายเหลือเกิน!
ทะดะโนะริเป็นขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ มีฝีมือทั้งศิลปะการใช้ดาบและการกวี’ ”
วิลเลียม สก็อตต์
วิลสัน ได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อ ไอเดียลส์ ออฟ เดอะ ซะมุไร ว่า: “เหล่านักรบในเฮเกะ
โมะโนะงะตะริ ถือได้ว่าเป็นตัวแบบสำหรับนักรบที่มีการศึกษาในรุ่นต่อๆ
มา และอุดมการณ์ต่างๆ ที่ถูกอธิบายโดยนักรบแต่ละคนในเรื่องเล่า ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ยากที่จะทำตามหรือเอื้อมถึง
ยิ่งกว่านั้น อุดมการณ์เหล่านี้ยังเป็นที่ต้องการอย่างมากในสังคมนักรบชั้นสูง
และยังเป็นสิ่งที่ถูกแนะนำว่าเหมาะสมที่จะนำว่าใช้เป็นรูปแบบของมนุษย์ติดอาวุธชาวญี่ปุ่นทุกคน
ด้วยอิทธิพลของเฮเกะ โมะโนะงะตะริ นี่เอง ภาพลักษณ์ของนักรบญี่ปุ่นในงานวรรณกรรมต่างๆ
จึงสุกงอมอย่างเต็มที่” ต่อมา วิลสัน ยังได้แปลงานเขียนของนักรบบางคนที่มีชื่อในเรื่องเล่าแห่งเฮเกะนี้
เพื่อเป็นตัวอย่างให้คนที่ได้อ่านปฏิบัติตนตามอีกด้วย
คริสต์ศตวรรษที่ 13
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ศาสนาพุทธนิกายเซนถูกเผยแพร่ไปทั่วกลุ่มซะมุไร
ลัทธินี้ช่วยก่อร่างสร้างมาตรฐานแห่งประพฤติกรรมของพวกเขาขึ้นมา
โดยเฉพาะพฤติกรรมการเอาชนะความกลัวตายและการสังหาร แต่สำหรับผู้คนกลุ่มอื่นๆ แล้ว
ศาสนาพุทธกระแสหลักก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่
ภาพวาดแนวป้องกันหินขนาดใหญ่รอบอ่าวฮะกะตะที่สร้างขึ้นโดยซะมุไรเพื่อป้องกันการบุกรุกของกองทหารมองโกล
วาดโดยโมะโกะ ชุไร เอะโกะโตะบะ เมื่อปี พ.ศ. 1836
ดูบทความหลักที่ การรุกรานญี่ปุ่นของมองโกลในปี พ.ศ. 1817 (ค.ศ. 1274) กุบไลข่านแห่งจักรวรรดิมองโกล (ปกครองจีนในนามราชวงศ์หยวน) ได้ส่งกำลังทหารประมาณ 40,000 นาย และเรือ 900 ลำเพื่อมาตีญี่ปุ่นที่เกาะคีวชู ทางฝ่ายญี่ปุ่นจึงได้รวบรวมกำลังซะมุไรประมาณ 10,000 คนเพื่อเตรียมต่อต้านการบุกรุกครั้งนี้ แต่ตลอดการบุกเข้ามา กองทหารมองโกลทั้งหมดกลับโดนโจมตีโดยพายุขนาดใหญ่หลายลูก เป็นผลให้ฝ่ายตั้งรับปลอดภัยจากการสูญเสียกำลังพลครั้งใหญ่ จนในที่สุดกองทหารหยวนก็ถูกเรียกกลับจักรวรรดิไปและการบุกรุกก็สิ้นสุดลง แต่การกระทำของมองโกลในครั้งนั้นถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าจดจำสำหรับญี่ปุ่น เนื่องจากว่ากองกำลังมองโกลกลุ่มนี้ใช้ระเบิดขนาดเล็กเป็นอาวุธด้วย ทำให้ญี่ปุ่นได้รู้จักกับระเบิดและดินปืนเป็นครั้งแรก
ฝ่ายญี่ปุ่นตระหนักดีว่ามีความเป็นไปได้ที่การถูกบุกรุกจะเกิดขึ้นอีก
พวกเขาจึงต้องสร้างแนวป้องกันหินขนาดใหญ่รอบอ่าวฮะกะตะ
โดยเริ่มลงมือสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 1819 (ค.ศ.
1276) จนถึงปี พ.ศ. 1820 (ค.ศ.
1277) แนวป้องกันนี้มีความยาว 20 กิโลเมตรทอดตัวไปตามแนวชายฝั่ง
นี่ถือว่าเป็นจุดตั้งรับที่แข็งแรงที่จะต้านมองโกลไว้ได้
ทางฝ่ายมองโกลก็พยายามแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีทางการทูต โดยเริ่มกระทำตั้งแต่ปี พ.ศ. 1818(ค.ศ. 1275)
ถึงปี พ.ศ. 1822 (ค.ศ.
1279) แต่ผู้ส่งสารของมองโกลแต่ละคนที่เดินทางไปญี่ปุ่นล้วนแล้วถูกจับประหารชีวิตทั้งสิ้น
เป็นผลให้ต้องเกิดการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นในเวลาต่อมา
ในปี พ.ศ. 1824 (ค.ศ.
1281) กองทหาร 140,000 นายกับเรืออีก 4,400
ลำของราชวงศ์หยวน
เดินทางมาที่ญี่ปุ่นอีกครั้งเพื่อมาทำสงครามครั้งใหม่
ทางด้านญี่ปุ่นก็จัดเตรียมซะมุไร 40,000 คนเพื่อป้องกันตอนเหนือของเกาะคีวชูไว้
เมื่อทัพมองโกลเดินทางมาถึง
ทหารมองโกลยังคงต้องอยู่บนเรือของพวกเขาเพื่อเตรียมตัวปฏิบัติการยกพลขึ้นบก แต่เมื่อถึงเวลายกพลขึ้นบกจริง
พวกเขาต้องพบกับพายุไต้ฝุ่นที่เข้าปะทะเกาะคีวชูตอนเหนือพอดี
ตามมาด้วยการพบกับกำลังป้องกันของญี่ปุ่นที่แนวป้องกันบนอ่าวฮะกะตะอีก
ทำให้ทัพมองโกลรับความเสียหายและต้องสูญเสียกำลังพล ผลสุดท้าย
ทัพมองโกลก็ต้องถูกเรียกกลับสู่จักรวรรดิอีกครั้ง
พายุฝนในปี พ.ศ. 1817 (ค.ศ.
1274) และพายุไต้ฝุ่นในปี พ.ศ. 1824 (ค.ศ.
1281) ช่วยให้กองกำลังซะมุไรที่ทำหน้าที่ปกป้องญี่ปุ่นไล่ผู้บุกรุกชาวมองโกลกลับไปได้
แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีกำลังพลที่มากกว่าอย่างมากก็ตาม ลมพายุทั้งสองนี้ได้กลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อ คะมิ-โนะ-คะเซะ (หรือเรียกอย่างสั้นว่า "คะมิกะเซะ")
ซึ่งมีความหมายตามตัวอักษรว่า ลมแห่งเทพเจ้า หรือที่แปลกันอย่างง่ายว่า ลมพระเจ้า ไต้ฝุ่นคะมิกะเซะได้สร้างความเชื่อให้แก่ชาวญี่ปุ่นว่าแผ่นดินต่างๆ
ของพวกเขาอยู่ภายใต้การปกป้องของเทพเจ้าและสิ่งเหนือธรรมชาติ
ยุคมุโระมะชิ ศตวรรษที่ 14
ช่างตีดาบที่ชื่อ มะซะมุเนะ ได้พัฒนาเหล็กกล้าที่มีโครงสร้างสองชั้นผสมกันระหว่างเหล็กอ่อนและเหล็กแข็งขึ้นเพื่อใช้ในการตีดาบ
โครงสร้างนี้ได้สร้างความก้าวหน้าในพลังและคุณภาพการตัดอย่างมาก
ซึ่งเทคนิคการผลิตดังกล่าวได้นำไปสู่การสร้างดาบญี่ปุ่น (ดาบคะตะนะ) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะของหนึ่งในอาวุธคู่มือที่ทรงอานุภาพมากที่สุดในเอเชียตะวันออกช่วงยุคก่อนการพัฒนาอุตสาหกรรม ดาบหลาย ๆ
เล่มที่สร้างขึ้นมาโดยเทคนิคดังกล่าวนี้ได้ถูกส่งออกข้ามทะเลจีนตะวันออกไป ซึ่งจุดที่ไกลที่สุดที่ดาบเดินทางไปถึงคือดินแดนอินเดีย
ประเด็นในเรื่องการสืบทอดตำแหน่งโดยทายาทเป็นเหตุให้การต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งโดยตระกูลต่าง
ๆ เป็นเรื่องธรรมดา
ถึงแม้ว่าจะเป็นวิธีการที่ขัดต่อระเบียบการสืบทอดอำนาจที่ตราเอาไว้ในกฎหมายของญี่ปุ่นก่อนศตวรรษที่
14 ก็ตาม เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการใช้วิธีชิงอำนาจดังกล่าว การบุกรุกเข้ามาของกลุ่มซะมุไรที่อยู่ในเขตแดนติดกันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง และการวิวาทระหว่างซะมุไรด้วยกันเองก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาตลอดเวลาสำหรับเมืองคะมะกุระและสมัยการปกครองของโชกุนอาชิกางะ
ยุคเซงโงะกุ (ยุคภาวะสงคราม)
เป็นยุคที่ซะมุไรสูญเสียวัฒนธรรมของตนเองให้กับกลุ่มคนที่เกิดในชนชั้นทางสังคมอื่น
ๆ ที่บางครั้งได้อุปโลกน์ตัวเองว่าเป็นนักรบซะมุไร
โดยไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้องตามครรลองแห่งการเป็นซะมุไรหรือไม่ ดังนั้นในช่วงที่ไร้ความควบคุมเช่นนี้
หลักจรรรยาแบบบูชิโดจึงถูกนำมาใช้เป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมสังคมสาธารณะ
ศตวรรษที่ 15
กลยุทธ์และเทคโนโลยีการสงครามของญี่ปุ่นก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในช่วงศตวรรษที่ 15 และศตวรรษที่ 16 มีการใช้กองทหารราบที่เรียกกันว่า อะชิงะรุ (หรือ เท้าเบา สืบเนื่องมาจากชุดเกราะเบาที่ใช้
ซึ่งที่จริงก็คือนักรบชั้นที่ต่ำลงไปและประชาชนธรรมดาที่ถูกจัดให้ใช้อาวุธนะงะยะริ
(หอกยาว) หรือนะงินะตะ (ง้าว) จำนวนมากร่วมกับกองทหารม้าที่เตรียมเอาไว้ตามแผนการรบอยู่แล้ว
ทำให้จำนวนคนที่เข้าไปรับใช้กองทัพเพิ่มขึ้นจากหลักพันกลายเป็นหลักแสนทันที
อาวุธปืนเล็กยาวได้เข้ามาสู่ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2086 (ค.ศ.
1543) โดยชาวโปรตุเกสผ่านทางเรือโจรสลัดของจีน (ในทศวรรษนี้
ชาวญี่ปุ่นทุกคนได้ชื่อว่าเป็นพลเมืองของประเทศญี่ปุ่นอย่างเต็มตัว)
กลุ่มของทหารรับจ้างหลาย กลุ่มกับปืนเล็กยาวที่ถูกผลิตออกมาจำนวนมากจึงเล่นบทบาทสำคัญในญี่ปุ่นช่วงนั้น
เมื่อสิ้นสุดยุคศักดินา ญี่ปุ่นมีปืนชนิดต่างๆ ประมาณหนึ่งแสนกระบอก
และมีกองทหารจำนวน 100,000 กว่าคนที่ทำหน้าที่ร่วมรบในสมรภูมิ
ซึ่งถ้าเทียบกับกองทหารสเปนที่มีขนาดใหญ่และทรงพลังมากที่สุดในทวีปยุโรปแล้ว
พวกเขาก็มีอาวุธปืนเพียงแค่หนึ่งหมื่นกระบอก และกำลังทหารก็มีแค่ 30,000 คนเท่านั้น
ยุคอะซุชิโมะโมะยะมะ
ในปี พ.ศ. 2135 (ค.ศ.
1592) และอีกครั้งในปี พ.ศ. 2141 (ค.ศ.
1598) ไดเมียว โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ ตัดสินใจที่จะบุกจีน (ญี่ปุ่น ) และอีกทางหนึ่งก็ส่งกำลังซะมุไรจำนวน
160,000 คนไปบุกเกาหลี
โดยใช้ความได้เปรียบในด้านความชำนาญในการใช้อาวุธปืนเล็กยาว
และการบริหารกองทัพของฝ่ายเกาหลีที่แย่กว่าเป็นหนทางสู่ชัยชนะ
ซะมุไรที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสงครามครั้งนี้ได้แก่ คะโต คิโยะมะซะ และ ชิมะซุ
โยะชิฮิโระ
หลังจากนั้น
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมในด้านทรัพยากรมนุษย์ก็เป็นไปอย่างยืดหยุ่น
เหมือนกับระบบโบราณที่ล่มสลายไปแล้วได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
เนื่องจากซะมุไรต้องการที่จะคงกำลังทหารขนาดใหญ่และองค์กรที่พวกตนบริหารเอาไว้ในเขตอิทธิพลของพวกเขาเอง
ตระกูลซะมุไรหลาย ๆ ตระกูลที่ดำรงอยู่จนถึงศตวรรษที่ 19 ก็ออกมาประกาศว่า
พวกตนเป็นสายเลือดของหนึ่งในสี่ตระกูลชั้นนำโบราณ ซึ่งได้แก่ตระกูลมินะโมะโตะ ตระกูลไทระ ตระกูลฟุจิวะระ และตระกูลทะจิมะนะ แต่อย่างไรก็ตาม ในหลาย ๆ กรณี
ก็เป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ว่าต้นตระกูลของพวกเขาเป็นใครกันแน่
ปลายยุคอะซุชิโมะโมะยะมะ
โอะดะ โนะบุนะงะ
โอะดะ โนะบุนะงะ คือไดเมียวที่มีชื่อเสียงของเขตนะโงะยะ (ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่าแคว้นโอะวะริ)
และยังเป็นตัวอย่างของซะมุไรที่โดดเด่นต่างจากผู้อื่นในยุคเซงโงะกุ เขาเข้ามามีบทบาทและได้วางหนทางเพื่อความสำเร็จของเขา
ไม่กี่ปีหลังจากการรวมญี่ปุ่นอีกครั้งภายใต้ “ค่ายรัฐบาล”
หรือ “บะคุฟุ” (คณะปกครองในระบอบโชกุน)
ใหม่
โอะดะ โนะบุนะงะ
ได้สร้างนวัตกรรมทางด้านการบริหารและกลยุทธ์การสงครามเอาไว้มากมาย ได้แก่
การใช้ประโยชน์จากปืนเล็กยาวอย่างหนัก
พัฒนาการพาณิชย์และอุตสาหกรรม และสร้างนวัตกรรมใหม่ในด้านการคลัง
ชัยชนะของเขาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ตัวเขาเข้าใจถึงการสิ้นสุดลงของค่ายรัฐบาลอะชิคะงะ
และการปลดอาวุธจากกำลังทหารของพระในศาสนาพุทธ ซึ่งนำไปสู่ความโกรธเกรี้ยวและการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์ระหว่างประชาชนธรรมดาด้วยกันเป็นเวลาหลายศตวรรษ
เขารู้ว่าการโจมตีที่มาจาก "สถานที่ศักดิ์สิทธิ์” ของวัดชาวพุทธ เกิดจากแรงกดดันที่มีมาจากการกระทำของขุนศึกและแม้แต่จักรพรรดิซึ่งพยายามจะควบคุมการกระทำของพวกเขา
โอะดะถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2125 (ค.ศ.
1582) เมื่ออะเคะจิ มิสึฮิเดะ แม่ทัพคนหนึ่งในสังกัดของเขา หักหลังเขากับทหารของเขาด้วย
หลังจากนั้น โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ และโทะกุงะวะ อิเอะยะซุ (ผู้ซึ่งก่อตั้ง คณะการปกครองโชกุนโทะกุงะวะ)
ที่ต่างก็เป็นผู้ติดตามที่จงรักภักดีของโนบุนางะก็ได้หาทางกำจัดมิสึฮิเดะ
ฮิเดะโยะชิเป็นผู้ที่เติบโตมาจากชาวนาไร้ชื่อเสียง ซึ่งเริ่มมาจากทหารราบ อะชิงะรุ ไต่เต้ามาจนเป็นนายทหารสู่หนึ่งในแม่ทัพที่มีฝีมือของโนะบุนะงะ
ส่วนอิะเอะยะซุนั้นก็เติบโตมาด้วยกันกับโนะบุนะงะตั้งแต่เด็ก โดยตอนะเด็ก
อิเอะยะซุเคยเป็นตัวประกันของผู้ครองแคว้นมิคุวะมาก่อน
ในปี พ.ศ. 2125 (ค.ศ.
1582) ฮิเดะโยะชิเอาชนะมิสึฮิเดะได้ภายในหนึ่งเดือน
และถือเป็นผู้ที่สืบทอดอำนาจต่อจากโนะบุนะงะโดยชอบธรรมจากการยึดทรัพย์สินของมิตสึฮิเดะ
แม่ทัพทั้งสองได้มอบความสำเร็จที่ผ่านมาของโนะบุนะงะเป็นของขวัญในการรวมญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน
พวกเขาได้กล่าวคำสำคัญเอาไว้ในเหตุการณ์นี้ว่า: “การรวมแผ่นดินครั้งนี้ก็เหมือนกับข้าวปั้น
โอดะทำมันขึ้นมา ฮาชิบะแต่งรูปร่างให้มัน และสุดท้าย
มีเพียงอิเอะยะซุเท่านั้นที่จะเป็นคนลิ้มรสมัน” (ฮาชิบะ คือชื่อตระกูลที่โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ใช้ในขณะที่เขายังเป็นผู้ติดตามของโนบุนางะ)
โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ
ผู้เป็นบุตรของตระกูลชาวนาที่ยากจน ได้รับตำแหน่งเป็นเสนาบดีในปี พ.ศ. 2129 เขาได้ตรากฎหมายให้ชนชั้นซะมุไรมีความเป็นถาวรและสามารถตกทอดไปสู่ทายาทได้
ส่วนผู้ที่มิใช่ซะมุไรนั้น ไม่สามารถพกพาอาวุธติดตัวได้ ด้วยเหตุนี้เอง
จึงทำให้กลุ่มซะมุไรที่อุปโลกน์ตัวเองขึ้นมาเป็นอันต้องสิ้นสุดลง
หลังจากที่เกิดกฎหมายดังกล่าวขึ้นมา
ความคลุมเครือระหว่างซะมุไรจริงกับซะมุไรปลอมก็เริ่มลดลง ชายวัยผู้ใหญ่ของทุก ๆ
ระดับชั้นทางสังคม (แม้แต่ชาวนา)
ส่วนมากแล้วจะไปขึ้นตรงต่อองค์กรทางการทหารอย่างน้อยหนึ่งองค์กร
เพื่อรับใช้องค์กรนั้นๆ ในการทำสงคราม จึงสามารถกล่าวได้ว่า สถานการณ์ “มวลชนปะทะมวลชน” กำลังจะดำเนินต่อไปอีกศตวรรษ
ตระกูลซะมุไรที่มีอำนาจในช่วงหลังคริสต์ศตวรรษที่ 17 จะได้รับเลือกให้ติดตามโนะบุนะงะ, ฮิเดะโยะชิ, และอิเอะยะซุ สงครามขนาดใหญ่หลายๆ
ครั้งเกิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง
ซะมุไรที่พ่ายแพ้และถูกสังหารมีจำนวนมาก
ซะมุไรที่รอดกลับมาหลายต่อหลายคนก็ต้องกลายเป็นโรนิง หรือไม่ก็กลายเป็นประชาชนธรรมดา
ยุคเอะโดะ
โชกุนโทะกุงะวะ อิเอะยะซุ
ตลอดสมัยการปกครองของตระกูลโทะกุงะวะ (ที่มักจะเรียกกันว่ายุคเอะโดะ) นับตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา ก็เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีสงครามปะทุขึ้นอีกเลย
ในยุคนี้ซะมุไรหลายๆ คนจึงสูญเสียหน้าที่ทางการทหารไปทีละน้อย
เป็นเหตุให้พวกเขาต้องหันมาทำงานเป็นข้าราชสำนัก ข้าราชการ
และนักบริหารมากกว่าที่จะเป็นนักรบอย่างเคย
เมื่อสิ้นยุคของโทะกุงะวะ
ซะมุไรก็กลายเป็นข้าราชการชนชั้นสูงรับใช้ผู้ที่เป็นไดเมียว ในยุคนี้ไดโชะของซะมุไร
(ดาบยาวและสั้นที่ซะมุไรพกพาไว้คู่กัน หรือที่เรียกว่าคะตะนะ และวะกิซะชิ ได้กลายมาเป็นตราสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอำนาจมากกว่าจะเป็นอาวุธที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
พวกเขายังคงได้อำนาจตามกฎหมายที่จะฆ่าใครก็ได้ที่ไม่แสดงความเคารพอย่างเหมาะสมต่อตัวเขาอีกด้วย
ต่อมาเมื่อรัฐบาลกลางบังคับให้ไดเมียวต้องลดจำนวนซะมุไรในสังกัดลง
ปัญหาสังคมที่ตามมาคือจำนวนโรนิงที่เพิ่มมากขึ้น
ตามหลักการแล้ว
พันธะที่เกิดขึ้นระหว่างซะมุไรกับเจ้านายของพวกเขา (ส่วนใหญ่ก็คือไดเมียว)
มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากจากสมัยเก็มเปสู่สมัยเอโดะ
ในช่วงนี้ ซะมุไรจะให้ความสำคัญต่อคำสอนของปราชญ์ขงจื๊อและเม่งจื๊ออย่างมาก
ตำราของปราชญ์ทั้งสองเป็นที่ต้องการของชนชั้นซะมุไรที่มีการศึกษา
ตลอดสมัยเอโดะ
หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง การประมวลหลักบุชิโดก็เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
สิ่งสำคัญคือ หลักบุชิโดเป็นเรื่องของอุดมคติ
แต่ก็เป็นหลักที่ยังคงรูปแบบเดิมได้ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 – อุดมการณ์บุชิโดเป็นอุดมการณ์ของชนชั้นนักรบที่อยู่เหนือบริบทชนชั้นทางสังคม
เวลา และภูมิสถาน
หลักบุชิโดถูกทำให้เป็นทางการโดยซะมุไรหลายๆ
คน หลังจากที่บ้านเมืองอยู่ในความสงบ ไร้สงคราม คล้ายกันกับหลัก ชิวัลรี (Chivalry - หลักอัศวิน) ที่ถูกทำให้เป็นทางการเช่นกัน หลังจากที่อัศวินซึ่งเป็นชนชั้นนักรบในทวีปยุโรปล่มสลายไป
หลักความประพฤติของซะมุไรได้กลายเป็นตัวแบบที่เป็นที่ชื่นชอบของประชาชนในสมัยเอโดะ
ซึ่งเป็นสมัยที่เน้นความเป็นทางการอย่างมาก นอกจากนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว
ซะมุไรหลายๆ คนยังได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการไล่ตามสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ด้วย เช่น
การได้เป็นบัณฑิตผู้มีความรู้อย่างลึกซึ้ง เป็นต้น
หลักบุชิโด และหลักเกณฑ์อื่นๆ
ที่เป็นวิถีชีวิตของซะมุไร ปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีชิวิตอยู่ในสังคมแบบญี่ปุ่น
ยุคเมจิ ความเสื่อมถอยของซะมุไร
ในช่วงเวลานี้
วิถีทางแห่งความตายและเต็มไปด้วยอันตราย ได้ถูกทำให้ลดลงโดยการ
"ปลุกให้ตื่นขึ้น" อย่างหยาบคายในปี พ.ศ. 2396 (ค.ศ.
1853) เมื่อพลเรือจัตวาแมทธิว เพอร์รี ได้นำเรือกลไฟจำนวนมากจากกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา มาทำการค้ากับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นชาติที่ถูกครอบงำโดยนโยบายโดดเดี่ยวตัวเองอยู่ช่วงหนึ่ง
ในช่วงแรก เนื่องจากการควบคุมอย่างเข้มงวดจากโชกุน จึงมีเพียงแต่เมืองท่าบางเมืองเท่านั้นที่สามารถทำการค้ากับตะวันตกได้
การเข้ามาทำการค้าในญี่ปุ่นของชาติตะวันตกครั้งนั้นมีพื้นฐานมาจากความคิดที่จะแข่งขันกันระหว่างกลุ่มศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิกนิกายฟรานซิสกันและโดมินิกันกับกลุ่มอื่น
ๆ (เพื่อการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีปืนเล็กยาว ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ซะมุไรแบบดั้งเดิมต้องล่มสลายไป)
ปฏิบัติการครั้งสุดท้ายของทัพซะมุไรต้นตำรับเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2410 (ค.ศ.
1867) เมื่อซะมุไรจากแคว้นโชชูและแคว้นซะสึมะสามารถเอาชนะกองกำลังของโชกุนที่ได้รับการสนับสนุนจากคำสั่งขององค์จักรพรรดิได้
ก่อนหน้านี้ไดเมียวของทั้งสองแคว้นได้ไปสวามิภักดิ์กับอิเอะยะซุหลังจากสงครามทุ่งเซกิงะฮะระสิ้นสุดลง พ.ศ. 2143 (ค.ศ.
1600)

ซะมุไรของแคว้นซะสึมะ ในช่วงสงครามโบะชิง ถ่ายโดย เฟลีเซ บีอาโต
แต่ก็มีแหล่งข้อมูลอื่นอีกที่อ้างว่า
ปฏิบัติการครั้งสุดท้ายของซะมุไรเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2420 (ค.ศ.
1877) ในช่วงที่เกิดกบฏซะสึมะในยุทธการแห่งชิโระยะมะ ความขัดแย้งซึ่งเป็นที่มาของปฏิบัติการครั้งนั้นเริ่มมาจากการลุกฮือขึ้นก่อกบฏในครั้งที่ผ่านมาเพื่อที่จะเอาชนะโชกุนโทะกุงะวะ
เหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นได้นำไปสู่การปฏิรูปครั้งสำคัญ
ที่เรียกว่าการปฏิรูปสมัยเมจิ
คณะรัฐบาลชุดใหม่ที่มีบทบาทในช่วงนั้น
ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ อย่างถอนรากถอนโคน
โดยได้ตั้งเป้าหมายไปที่การลดอำนาจของระบบศักดินาและการยุบเลิกสถานะความเป็นซะมุไรลงไป
ซึ่งรวมทั้งในแคว้นซะสึมะด้วย
ในที่สุดแล้วการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้นำไปสู่การก่อกบฏที่เกิดขึ้นมาก่อนกำหนด
โดยมีแกนนำคือ ไซโง ทะกะโมะริ
จักรพรรดิเมจิได้สั่งให้ยุติสิทธิของซะมุไรในเรื่องของการเป็นชนกลุ่มเดียวที่สามารถเป็นกองกำลังทหารได้
เพื่อสนับสนุนให้เกิดกองทัพทหารเกณฑ์ที่เป็นแบบตะวันตก และมีความทันสมัยมากขึ้น
ซะมุไรได้กลายเป็น “ชิโซกุ” ผู้ซึ่งยังได้รับเงินเดือนเป็นค่าตอบแทนอยู่
แต่สิทธิในการพกพาดาบคะตะนะในพื้นที่สาธารณะได้นั้น
ต้องถูกยกเลิกไปพร้อมๆ กับสิทธิในการฆ่าใครก็ได้ที่ไม่ให้ความเคารพต่อตน ในที่สุด
กลุ่มคนที่เรียกตนเองว่าซะมุไรก็เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด
หลังจากที่ผ่านเวลากว่าร้อยปีแห่งความสุขที่มีต่อสถานะของพวกตน อำนาจของพวกตน
และความสามารถของพวกตนในการก่อร่างสร้างคณะรัฐบาลแห่งดินแดนญี่ปุ่นได้
แต่อย่างไรก็ตาม กฎของรัฐที่ออกมาจากชนชั้นทหารก็ยังไม่ได้สิ้นสุดลงไปด้วย
ภายหลังการปฏิรูปสมัยเมจิ
เพื่อเป็นการแสดงว่าญี่ปุ่นมีความทันสมัย
สมาชิกในคณะรัฐบาลเมจิจึงตัดสินใจที่จะเดินตามรอยเท้าของสหราชอาณาจักรและเยอรมนี โดยให้อยู่บนฐานคติที่ว่า
“สิทธิพิเศษย่อมมีข้อผูกมัด” (“noblesse obligé”) ส่วนซะมุไรนั้น ก็ถูกลดอำนาจทางการเมืองไปเหมือนกับของปรัสเซีย
เมื่อการปฏิรูปสมัยเมจิเกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ชนชั้นซะมุไรก็ล่มสลายไป
และกองทัพประจำชาติแบบตะวันตกก็เกิดขึ้นแทน ทหารในกองทัพสมัยใหม่ขององค์พระจักรพรรดิแห่งประเทศญี่ปุ่นล้วนแล้วแต่เป็นทหารที่ถูกเกณฑ์เข้ามาทั้งสิ้น
แต่ก็มีซะมุไร (เก่า) หลายคนที่อาสาไปเป็นทหารให้
และอีกหลายคนก็เข้าไปฝึกเพื่อที่จะเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ในกองทัพ
ผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ในกองทัพนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะมีจุดเริ่มต้นมาจากซะมุไรแทบทั้งสิ้น
ทำให้พวกเขาเข้ามาทำงานพร้อมกับแรงจูงใจและวินัยขั้นสูง
ประกอบกับการหมั่นฝึกฝนที่โดดเด่นผิดธรรมดา
นักเรียนแลกเปลี่ยนชาวญี่ปุ่นหลายต่อหลายคนในช่วงหลังก็ล้วนเป็นซะมุไรมาก่อนเช่นกัน
ที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะว่าซะมุไรเท่านั้นถึงจะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนได้
แต่เป็นเพราะว่า ซะมุไรหลายๆ คนอ่านออกเขียนได้และมีการศึกษาที่ดี
นักเรียนแลกเปลี่ยนบางคนเริ่มต้นเรียนที่โรงเรียนเอกชนก่อนเพื่อโอกาสทางการศึกษาที่สูงขึ้น
ในขณะเดียวกัน
ซะมุไรเก่าอีกหลายคนก็หันมาจับปากกาแทนปืน และได้กลายเป็นนักข่าวและนักประพันธ์ และยังได้ตั้งสำนักหนังสือพิมพ์ของตนเองอีกด้วย ส่วนอดีตซะมุไรคนอื่นๆ
ก็เข้าไปรับใช้คณะรัฐบาล เนื่องจากพวกเขาอ่านออกเขียนได้และมีการศึกษานั่นเอง
ซะมุไรชาวตะวันตก ภาพวาดของ เออแชน กอลลาก นายทหารเรือชาวฝรั่งเศสที่ทำศึกเพื่อโชกุนในฐานะของซะมุไร ในช่วงสงครามโบะชิง (พ.ศ. 2412)
ชาวต่างประเทศคนแรกที่ได้รับเกียรติให้เป็นซะมุไร
น่าจะเป็นทหารและนักผจญภัยชาวอังกฤษที่มีนามว่า วิลเลียม อดัมส์ (พ.ศ. 2107 – พ.ศ. 2163) โชกุนโทะกุงะวะ อิเอะยะซุได้มอบดาบคู่ให้แก่เขาเพื่อเป็นตัวแทนแห่งอำนาจของซะมุไร
พร้อมกับมีบัญชาออกมาว่า นักเดินเรือวิลเลียม อดัมส์ ได้ตายไปแล้ว และซะมุไร
มิอุระ อันจิง (ญี่ปุ่น) ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแทน
นอกจากการได้เป็นซะมุไร อดัมส์ยังได้รับตำแหน่ง ฮะตะโมะโตะ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้รับความเคารพอย่างสูง
มีหน้าที่เป็นข้ารับใช้โดยตรงในสำนักของโชกุน นอกจากนั้น เขายังได้รับที่ดินในเฮมิ
(ญี่ปุ่น ) ซึ่งเป็นที่ดินที่มีเขตแดนอยู่ในเมืองโยะโกะซุกะในปัจจุบัน
เป็นส่วนแบ่งจากท่านโชกุน พร้อมกับข้าทาสบริวารอีกส่วนหนึ่ง
โดยมีหลักฐานปรากฏในจดหมายของเขาว่า “ด้วยชาวนาแปดสิบหรือเก้าสิบคนนี่แหละ
ที่จะมาเป็นข้าทาสและบริวารของข้าพเจ้า” ทรัพย์สมบัติในรูปแบบของที่ดินของเขามีค่ามากเท่ากับ
250 โกกุ (หน่วยวัดรายได้ที่มาจากผืนนาบนที่ดินของญี่ปุ่น มีค่าประมาณห้าบูเชล)
ในท้ายที่สุด
เขาได้เขียนในจดหมายของเขาว่า “พระเจ้าได้บันดาลพรให้ข้าพเจ้า หลังจากที่ข้าพเจ้าต้องพบกับความทุกข์ระทม”
เนื้อความดังกล่าวหมายความว่า ความหายนะ (จากการเดินทาง)
ได้นำเส้นทางของเขาให้มาพบกับชีวิตที่ดีในญี่ปุ่น
นอกจากวิลเลียม อดัมส์ แล้ว
ในช่วงที่เกิดสงครามโบะชิง พ.ศ. 2411 (ค.ศ.
1868) – พ.ศ. 2412 (ค.ศ.
1869) ก็ยังมีทหารชาวฝรั่งเศสหลายคนที่เข้ามาร่วมกับกองกำลังของโชกุนต่อสู้กับกลุ่มไดเมียวฝ่ายใต้ที่เห็นชอบกับการปฏิรูปสมัยเมจิ โดยได้มีการบันทึกไว้ว่า
นายทหารเรือฝรั่งเศสคนหนึ่งที่ชื่อ เออแชน กอลลาช (Eugène
Collache) ได้ต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ภายใต้เครื่องแบบของซะมุไร
เคียงบ่าเคียงใหล่ไปกับเพื่อนร่วมรบชาวญี่ปุ่นคนอื่น
ๆ ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น